25/8/54

เอกสารที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ

เอกสารที่ใช้ในธุรกิจ
ชนิดและลักษณะของเช็ค
โดยปกติเช็คจะมีความแตกต่างตามความต้องการของผู้จ่ายเช็คและผู้รับเช็คซึ่งจะได้กล่าวถึงแต่ละชนิดดังนี้
    1.เช็คสั่งจ่ายตามสั่ง ( Order Cheque ) เป็นเช็คที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้มีชื่อปรากฏในเช็คสามารถโอนกันได้โดยการสลักหลัง และส่งมอบ
    2. เช็คสั่งจ่ายให้บุคคลหรือผู้ถือ ( Bearer Cheque ) หมายถึงผู้สั่งจ่ายสั่งธนาคารจ่ายเงินแก่ผู้ถือเช็คฉบับนั้นเพียงแต่เขียนในช่องจ่ายว่าเงินสดก็เป็นอันสมบูรณ์
   3. เช็คสั่งจ่ายวันที่ล่วงหน้า ( Post Date Cheque ) เป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายลงวันที่ล่วงหน้าจะเบิกเงินจากธนาคารได้ก็ต่อเมื่อถึงวันที่ที่ปรากฏบนเช็ค
   4.เช็คขีดคร่อม ( Crossed Cheque ) เป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายขีดหรือทำเครื่องหมายเส้นคู่ขนานไว้ตรงด้านหน้าของเช็คผู้ถือเช็คจะไม่สามารถเบิกเงินสดได้จะต้องนำไปเข้ากับบัญชีที่ตนฝากเงินกับธนาคารแล้วให้ธนาคารเป็นผู้ไปขึ้นเงินให้แล้วโอนเข้ากับบัญชีของผู้ทรงเช็คนั้นอีกทอดหนึ่งแยกเป็น 2 กรณีดังนี้
                                      4.1 เช็คขีดคร่อมทั่วไปคือในระหว่างเส้นคู่ขนานไม่มีข้อความใดเขียนไว้เลยหรือมีคำว่าและบริษัท AND CO ; และหรือคำย่ออื่นๆ ทำนองเดียวกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะลงไป
                                      4.2 เช็คขีดคร่อมเฉพาะในระหว่างเส้นคู่ขนานจะมีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งเฉพาะเจาะลงไป
      5.เช็คอื่นๆเป็นเช็คที่แตกต่างไปจากที่กล่าวมาแล้วจะใช้ในเฉพาะบางกรณีได้แก่
                   5.1  เช็คที่ธนาคารรับรอง และอาวัล ( Certifide Cheque and Aval ) เป็นเช็คที่ธนาคารจะรับรองเพราะผู้รับเช็คไม่รู้จักผู้สั่งจ่ายดีพอ
                   5.2  เช็คที่ถูกสลักหลัง
                   5.3  เช็คที่ธนาคารเป็นผู้สั่งจ่าย ( Cashier Cheque )
                   5.4  เคาน์เตอร์เช็ค ( Counter Cheque ) เป็นเช็คพิเศษที่ธนาคารสำรองให้ผู้ฝากต้องการจะเบิกแต่ไม่ได้นำเช็คมา
                5.5  เช็คสำหรับผู้เดินทาง ( Traveller Cheque ) เพื่อความปลอดภัยผู้เดินทางจะไม่นำเงินสดติดตัวธนาคารจะมีเช็คเดินทางขายให้กับ


                                                                                                                                                                                  

ตั๋วแลกเงิน ( Bill of Exchange )
          
 ลักษณะของตั๋วแลกเงินนั้นคือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งบุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้จ่ายให้ใช้เงินหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน
            ตามบัญญัติในมาตรา 908 ตั๋วเงินจะต้องทำเป็นหนังสือสามารถเปลี่ยนมือได้ข้อความในหนังสือมีลักษณะคำสั่งโดยบุคคลหนึ่งสั่งให้อีกบุคคลหนึ่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่มีชื่อระบุไว้ในตั๋วในกรณีเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ หรือสั่งให้จ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในกรณีตั๋วผู้ถือซึ่งผู้ที่มีชื่อเป็นผู้รับเงินหรือผู้ถือแล้วแต่กรณีสามารถที่จะสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่บุคคลอื่นต่อไปนี้อีกก็ได้
            การออกตั๋วแลกเงินจะต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับรายการในตั๋วแลกเงินนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 บัญญัติว่า
                อันตั๋วแลกเงินนั้นต้องมีรายการดังกล่าวต่อไปนี้คือ
-  คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน
คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนแน่นอน
ชื่อหรือยี่ห้อผู้จ่าย
วันถึงกำหนดใช้เงิน
สถานที่ใช้เงิน
-  ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินหรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ
วันและสภาพที่ออกตั๋วเงิน
ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย
ตามลักษณะของตั๋วแลกเงินผู้สั่งจ่ายจะออกตั๋วมอบให้แก่ผู้รับเงินในเบื้องต้นผู้ที่เกี่ยวข้อง
เป็นคู่สัญญาโดยตรงจึงมีเฉพาะผู้สั่งจ่ายและผู้รับเงินเท่านั้นผู้จ่ายเป็นบุคคลที่ผู้สั่งจ่ายระบุให้เป็นผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้นโดยที่ยังไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเข้ามาเป็นคู่สัญญาในตั๋วแลกเงินก็ต่อเมื่อได้มีการนำตั๋วแลกเงินนั้นไปให้ผู้จ่ายใช้เงินหรือให้รับรองตั๋ว
                ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ำประกันการรับประกันการใช้เงินทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ซึ่งเรียกว่าอาวัล (
Aval ) การอาวัล คือการค้ำประกันให้มีการใช้เงินตามตั๋วเงินผู้อาวัล คือผู้ค้ำประกันการใช้เงินตามตั๋ว

ตั๋วเงินคลัง ( Treasury Bill )
               
เป็นตราสารเปลี่ยนมือชนิดหนึ่งซึ่งมีข้อความแสดงสิทธิของผู้ทรงในอันที่จะได้รับการชำระเงินจำนวนแน่นอน ณ สถานที่และวันที่กำหนดไว้ตั๋วเงินคลังที่ใช้ในประเทศไทยมีลักษณะดังนี้
1.ผู้ออกตั๋วเงินคลังคือกระทรวงการคลัง
2.วันถึงกำหนดใช้เงินจะต้องระบุไว้ในตั๋วและจะช้ากว่า 12 เดือนนับแต่วันออกตั๋วไม่ได้
3. ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ออกและจัดการกับตั๋วเงินคลังแทนกระทรวงการคลัง
4.ตั๋วเงินคลังจะขายในรูปเงินสด อาจทำได้ 2 วิธีคือ
    4.1โดยวิธีประมูลราคา ผู้เสนอส่วนลดต่ำสุดจะเป็นผู้ประมูลได้
     4.2กำหนดราคาขายโดยมีอัตราส่วนลดหรือดอกเบี้ยกำหนดไว้ตายตัว

พันธบัตร ( Bonds )
                คือตราสารชนิดหนึ่งที่สัญญาว่าจะชำระเงินที่แน่นอนจำนวนหนึ่ง ณเวลาใดเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ในอนาคตใช้เป็นหลักฐานในการกู้ยืมเงินทุนระยะยาวที่มีหลักประกันพันธบัตรแบ่งออกได้ดังนี้
-  พันธบัตรธุรกิจ ( Corporate Bond ) คือพันธบัตรที่ออกโดยธุรกิจเอกชน
-  พันธบัตรรัฐบาล ( Government Bond ) คือพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ



สัญญาซื้อขาย ( Sales Contract )
          
 การซื้อสินค้าที่ต้องมีใบสั่งถ้ามีจำนวนเงินมากๆปกติจะมีสัญญาซื้อขายด้วยเพื่อเป็นหลักฐานในการใช้สินเชื่อและใบเก็บเงินในโอกาสต่อไปจากตัวอย่างสัญญาซื้อขายและใบสั่งซื้อดังกล่าวจะพบว่าในช่องรายการจะระบุสินค้าชนิดและคุณภาพซึ่งผู้ขายจะต้องจัดหาสินค้าตามมาตรฐานตามที่ได้ตกลงกันไว้ถ้าไม่ตรงกับตามนั้นผู้ซื้อย่อมมีสิทธิไม่รับมอบสินค้าหรือมอบแต่อาจส่งคืนแก่ผู้ขายได้นอกจากนั้นก็ยังมีสิ่งต่างๆ ที่ต้องพิจารณาคือ
1.สินค้าไม่มีคุณภาพตามตัวอย่างหรือไม่ได้ตามมาตรฐานตามที่ตกลงกัน
2.ไม่มี ตรายี่ห้อชื่อผู้ผลิตหรือประเทศตามที่ตกลงไว้
3. ราคาซื้อขายที่ตกลงกันไว้ในกรณีที่มีส่วนลดจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าถ้าซื้อเงินสดจะต้องมีส่วนลดเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์
4. ปริมาณสินค้าที่ซื้อขายเมื่อระบุจำนวนแล้วผู้ขายเกิดจัดหาไม่ได้ จะขาดหรือเกินได้กี่เปอร์เซ็นต์
5.การส่งมอบสินค้าจะดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาเมื่อใดต้องระบุให้ชัดเจน
6. การชำระเงินต้องชี้แจงเงื่อนไขให้แน่ชัดเจนว่าเป็นเงินสดหรือเงินเชื่อชำระภายในกำหนดระยะเวลากี่วัน
                      7. การบรรจุหีบห่อต้องตกลงเช่นเดียวกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อเพื่อจะมีค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายต่างๆซึ่งอาจบวกรวมกับราคาสินค้าทำให้มีราคาสูงกว่าปกติ
เอกสารเกี่ยวกับการซื้อและการขายสินค้า ( Buying and Selling Transaction Documents )
                เอกสารเกี่ยวกับการซื้อและการขายสินค้าคือเอกสารที่ใช้ติดต่อกันระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อหรือลูกค้าเพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและมีขั้นตอนรวมทั้งได้ทราบเงื่อนไขต่างๆของสินค้า
                ตัวอย่างเอกสารเกี่ยวกับการซื้อและการขายสินค้าและราคาสินค้า ซึ่งทางร้านได้จัดทำขึ้นเพื่อส่งให้กับลูกค้าและเสนอขายตามราคานั้นใบแจ้งราคาสินค้าจะมีการกำหนดระยะเวลา เช่น     1 เดือน 3 เดือนถ้าพ้นจากระยะเวลานั้นราคาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้

ใบเสนอราคา ( Quotation )
เป็นเอกสารที่ใช้สำหรับเสนอราคาสินค้าให้กับลูกค้าจะมีรายละเอียดประกอบด้วยรายการสินค้า ลักษณะสินค้า ราคาเงื่อนไขการชำระเงินกำหนดการส่งมอบตลอดจนรายละเอียดอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับสินค้าแต่ละชนิดรูปแบบของใบเสนอราคาอาจจะทำเป็นจดหมายและแบบใบแจ้งราคาสินาหรือแค็ตตาล็อค ไปด้วย              

ใบกำกับสินค้า ( Invoice )
               เป็นใบแสดงรายการสินค้าที่ผู้ขายจัดส่งให้กับผู้ซื้ออาจจะส่งก่อนหรือจัดส่งให้พร้อมกับสินค้าซึ่งอาจเรียกว่า ใบส่งมอบสินค้า หรือใบส่งของก็ได้ใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบสินค้าที่ได้รับจากผู้ขายและใช้เป็นใบสำคัญในการลงบัญชีด้วย
              
       รูปแบบของใบกำกับสินค้าลักษณะดังนี้
1.  แสดงรายการของสินค้าที่จัดส่งราคาเงื่อนไข การชำระเงิน
2.  อ้างอิงถึงหมายเลขของใบสั่งซื้อ
3.  ต้องมีหมายเลขของใบสั่งซื้อ
4.  วิธีการส่งมอบสินค้า
5.  หน่วยงานหรือสถานที่นำส่งของ
6.ควรทำขึ้นอย่างน้อย 5 ฉบับส่งให้แก่ผู้ซื้อ แผนกจัดส่งของ แผนกขายแผนกบัญชีและแผนกคลังเก็บสินค้า

ใบลดหนี้ ( Credit  note )
                    เป็นเอกสารที่ใช้ในกรณีที่ผู้ซื้อสินค้าได้รับสินค้าแล้วปรากฏว่าผู้ขายคิดราคาเกินหรือส่งสินค้ามาให้ผิดจากคำสั่งซื้อหรือสินค้าชำรุด เมื่อผู้ขายได้รับทราบแล้วได้ให้คำยืนยันในการรับสินค้าคืนหรือยอมลดราคาให้ฝ่ายผู้ขายจะออกใบลดหนี้ไปให้ผู้ซื้อทราบว่าได้ลดหนี้หรือหักหนี้ในบัญชีของผู้ซื้อแล้ว
               
รูปแบบของใบลดหนี้มีลักษณะดังนี้
1. อ้างถึงใบกำกับสินค้าของผู้ขาย
2. วัน เดือนปีที่ออกใบเสร็จรับเงินให้
3. ระบุจำนวนและราคาสินค้าที่รับคืน
4.มีสถานที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย

ใบเพิ่มหนี้ ( Debit note )
               เป็นเอกสารที่ใช้ในกรณีที่ผู้ขายคิดราคาสินค้าต่ำไปหรือได้ส่งสินค้าเกินไปเมื่อผู้ขายแจ้งให้ผู้ซื้อทราบแล้วก็จะออกใบเพิ่มหนี้ให้ผู้ซื้อแจ้งว่าได้เพิ่มหนี้ในบัญชีของผู้ซื้อแล้ว
        
รูปแบบของการเพิ่มหนี้มีลักษณะที่สำคัญดังนี้
1.มีที่อยู่ของผู้ซื้อและผู้ขาย
2.ระบุวัน เดือน ปีที่ออกใบเพิ่มหนี้
3.อ้างถึงใบกำกับสินค้า
4.บอกจำนวนและราคาที่เพิ่มหนี้


เลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit หรือ L/C)
 เลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit หรือ L/C)หมายความว่าเป็นเอกสารหรือคำสั่งที่ออกโดยธนาคารหนึ่งหรือบุคคลหนึ่งณที่หนึ่งให้ธนาคารหรือบุคคลอื่นที่จ่าหน้าถึงณที่อีกแห่งหนึ่งจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลที่ระบุไว้เงินที่จ่ายไปนั้นจะเรียกคืนได้จากผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต
        การชำระเงินโดยเลตเตอร์ออฟเครดิตนี้เป็นวิธีการที่ผู้ซื้อสินค้าได้ตกลงกับธนาคารของตน (Opening Bank) ให้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิตให้กับผู้ขายสินค้าโดยธนาคารตกลงจะจ่ายเงินให้กับผู้ขายตามจำนวนที่ระบุภายใต้เงื่อนไขที่ว่าผู้ขายจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดในเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้น
  

การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit)
 การส่งสินค้า L/C จะช่วยให้เกิดความมั่นใจทั้งผู้ซื้อและผู้ขายที่นิยมใช้กันแพร่หลายมี 2 ชนิดคือ
เลตเตอร์ออฟเครดิตประเภทเพิกถอนได้ผู้เกี่ยวข้องสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขได้ทุกเวลาแต่ต้องก่อนที่จะมีการรับซื้อเอกสารนั้น
·       เลตเตอร์ออฟเครดิตประเภทเพิกถอนไม่ได้ธนาคารผู้เปิด L/C มีพันธะผูกพันแน่นอน ตาม L/C ที่เปิดจะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไม่ได้นอกจากจะได้รับการยินยอม

การขายแบบ Letter of Credit (L/C) หรือเลตเตอร์ออฟเครดิตทางการค้า
        หมายถึง ตราสารที่ธนาคารผู้เปิด L/C เป็นผู้ออกโดยคำสั่งของผู้ซื้อเพื่อแจ้งไปยังผู้ขายผ่านทางธนาคารตัวแทนเป็นการยืนยันว่าเมื่อผู้ขายปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน L/C ถูกต้องครบถ้วนแล้วธนาคารผู้เปิด L/C จะชำระเงินให้แก่ผู้ขาย
Vสาเหตุที่ผู้ส่งออกนิยมใช้วิธีนี้ก็เพราะผู้ซื้อมีความมั่นใจว่าถ้าสั่งซื้อสินค้าด้วยการเปิด L/C ไปให้ผู้ขายแล้วผู้ขายจะจัดส่งสินค้าไปให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ใน L/C ทุกประการ หากผู้ขายไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ใน L/C ธนาคารก็จะเป็นผู้รับผิดชอบในการติดต่อประณีประนอมหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากผู้ขายได้
        ส่วนผู้ขายเองก็มีความมั่นใจในการส่งสินค้าออกเช่นเดียวกันเพราะหลังจากที่ส่งสินค้าไปให้ผู้ซื้อแล้วและจัดทำเอกสารส่งออกให้ครบและถูกต้องก็จะสามารถไปรับเงินจากธนาคารในประเทศของผู้ขายได้ทันที
        ขั้นตอนในการเปิด L/C นั้นเริ่มจากภายหลังการตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเรียบร้อยแล้วผู้ซื้อต้องมาติดต่อกับธนาคารของตนเพื่อขอเปิด L/C ธนาคารจะดำเนินการให้เฉพาะลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อหรือหาผู้ซื้อไม่มีวงเงินธนาคารอาจขอให้จ่ายค่ามัดจำค่าสินค้าล่วงหน้าก่อนแล้วจึงเปิด L/C ให้ธนาคารในประเทศผู้ซื้อที่เปิด L/C เรียกว่าธนาคารผู้เปิด L/C โดยผ่านธนาคารตัวแทนในประเทศผู้ขาย เรียกว่าธนาคารผู้แจ้งการเปิด L/C เมื่อผู้ขายได้รับ L/C แล้วต้องตรวจสอบว่า L/C เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่หากถูกต้องผู้ขายสามารถดำเนินการส่งสินค้าออกได้ทันทีโดยนำสินค้าของตนไปส่งให้กับบริษัทขนส่งหรือบริษัทผู้รับขนส่งสินค้าหรือขึ้นเครื่องบินเพื่อจัดส่งไปให้ผู้ซื้อผู้ขายจะได้รับในตราส่งสินค้าจากบริษัทขนส่งเพื่อแสดงว่าได้รับสินค้าบรรทุกลงเรือหรือขึ้นเครื่องบินแล้ว
        หลังจากนั้นผู้ขายจะจัดทำใบกำกับสินค้า ตั๋วแลกเงินและเอกสารอื่น ๆซึ่งเรียกว่าเอกสารการส่งออกนำมาขอขึ้นเงินกับธนาคารตามเงื่อนไขใน L/C โดยผู้ขายจะต้องปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขใน L/C ทุกประการธนาคารผู้รับซื้อตั๋วจะชำระเงินทันทีในกรณีเป็นตั๋วจ่ายเงินเมื่อเห็นหรือจ่ายเงินเมื่อครบกำหนดตามที่ L/C ระบุและขอรับเงินหรือหักบัญชีของธนาคารผู้เปิด L/C ด้วยหลังจากนั้นจึงส่งเอกสารทั้งหมดมายังธนาคารผู้เปิด L/C เพื่อเรียกเก็บจากผู้ซื้อพร้อมทั้งส่งมอบเอกสารการส่งออกให้กับผู้ซื้อเพื่อทำการออกสินค้าต่อไป


การชำระเงินโดยวิธีเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter Of Credit)
        เป็นวิธีการชำระเงินที่ธนาคารเข้ามามีบทบาทในการให้ความมั่นใจแก่ผู้ขายว่าเมื่อผู้ขายส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อแล้วและนำเอกสารเกี่ยวกับการส่งสินค้า (Shipping Documints)ที่ถูกต้องตามที่ระบุในเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิตเดิมมายื่นให้ธนาคารธนาคารก็จะชำระหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งเป็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งแยกต่างหากจากสัญญาซื้อขายสินค้าตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตนั้นธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) เข้ารับภาระที่จะชำระเงินให้ผู้ขายซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ (Beneficiary)ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตหากผู้ขายปฏิบัติตามถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ระบุในเลตเตอร์ออฟเครดิตทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (Application for the Credit) ของผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (Applicant) ต่อธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิตนอกจากนี้ธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิตยังเข้ารับภาระต่อผู้ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตในการทำการตรวจเอกสารเกี่ยวกับสินค้า(Shipping Document)ว่าถูกต้องครบถ้วนตามที่ระบุในเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือไม่หากตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องก็จะดำเนินการชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามเลตเตอร์ออฟเครดิต


หลักสำคัญของสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตมีดังนี้คือ
        1ในอันที่จะชำระเงินรับรองและชำระเงินตามตั๋วแลกเงินหรือเจรจาซื้อตั๋วแลกเงินหรือปฏิบัติการชำระหนี้อื่นใดตามเลตเตอร์ออฟเครดิตจะไม่ขึ้นอยู่กับสิทธิเรียกร้องหรือข้อต่อสู้ของผู้ของผู้ขอเปิดเครดิตอันสืบเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของผู้ขอเปิดเครดิตที่มีต่อธนาคารผู้เปิดเครดิตหรือผู้รับประโยชน์ถึงแม้ผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้ขอเปิดเครดิตจะปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตโดยอ้างเหตุว่าสินค้าหายหรือไม่ตรงตามที่ตกลงในสัญญาซื้อขายก็ตามธนาคารผู้เปิดเครดิตก็ยังมีหน้าที่ชำระเงินรับรองและชำระเงินตามตั๋วแลกเงินหรือเจรจาซื้อตั๋วแลกเงินหรือปฏิบัติการชำระหนี้อื่นใดตามเลตเตอร์ออฟเครดิตตราบใดที่ผู้รับประโยชน์ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขที่ระบุในเลตเตอร์ออฟเครดิต
        2. ในคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตตัวเลตเตอร์ออฟเครดิตเองและบางกรณีคำสั่งให้แก่เลตเตอร์ออฟเครดิตรวมทั้งการแก้ไขเลตเตอร์ออฟเครดิตจะต้องระบุโดยชัดแจ้งถึงเอกสารที่จะต้องเสนอเพื่อให้มีการชำระเงินรับรองหรือเจรจาซื้อตั๋วแลกเงินธนาคารมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารที่ระบุไว้ในเครดิตโดยใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อให้แน่ใจว่าข้อความที่ปรากฏในเอกสารนั้นถูกต้องตามข้อตกลงและเงื่อนไขของเครดิต
        3. ข้อยกเว้นขอหลักที่กล่าวถึงข้างต้นมีอยู่ประการเดียวคือกรณีฉ้อฉลซึ่งหากเกิดกรณีฉ้อฉลขึ้นธนาคารผู้เปิดเครดิตและธนาคารผู้ยืนยันเครดิตจะต้องปฏิเสธไม่ชำระหนี้ตามเครดิตชนิดของเลตเตอร์ออฟเครดิตอาจแบ่งแยกได้เป็น 4 ชนิด คือ
        1. เครดิตชนิดเพิกถอนได้ (Revocable Credit) หมายถึงเครดิตที่ธนาคารผู้ออกเครดิตสามารถแก้ไขหรือยกเลิกได้ทุกเวลาโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้รับประโยชน์ทราบทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าธนาคารผู้เปิดเครดิตจะต้อง
        1.1ชดใช้ให้แก่ธนาคารอื่นหากธนาคารอื่นนั้นได้ทำการชำระเงินรับรองหรือเจรจาซื้อตั๋วแลกเงินเมื่อได้รับเอกสารซึ่งมีข้อความที่ปรากฏถูกต้องตามที่ระบุในข้อตกลงและเงื่อนไขของเครดิตและเครดิตชนิดเพิกถอนได้นั้นกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ชำระเงินทันทีที่ได้เห็นรับรองหรือเจรจาซื้อตั๋วแลกเงินได้ทั้งนี้ธนาคารอื่นนั้นได้ชำระรับรองหรือซื้อตั๋วแลกเงินก่อนที่จะได้รับแจ้งจากธนาคารผู้เปิดเครดิตถึงการยกเลิกเครดิต
        1.2 ชดใช้ให้ธนาคารอื่นหากธนาคารอื่นนั้นได้รับเอกสารซึ่งมีข้อความที่ปรากฏถูกต้องครบถ้วนตรงตามที่ระบุในข้อตกลงและเงื่อนไขของเครดิตและเครดิตชนิดเพิกถอนได้นั้นกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ชำระเงินในวันหนึ่งวันใดตามที่ระบุไว้ในอนาคตได้ทั้งนี้โดยธนาคารอื่นนั้นได้รับเอกสารไว้ก่อนที่จะได้รับแจ้งจากธนาคารผู้เปิดเครดิตถึงการแก้ไขหรือการยกเลิกเครดิต
        2. เครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้ (Irrevocable Credit) เป็นเครดิตที่ธนาคารผู้เปิดเครดิตเข้ารับภาระที่แน่นอนในอันที่จะชำระหนี้ตามเครดิตทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขว่ามีการเสนอเอกสารที่ระบุไว้ให้แก่ธนาคารผู้ได้รับมอบหมายหรือธนาคารผู้เปิดเครดิตและได้มีการปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเครดิตแล้วธนาคารผู้เปิดเครดิตจะทำการชำระหนี้ตามเครดิตต่อไป
        3. เครดิตชนิดยื่นยัน (Confirmed Credit)คือเครดิตที่ธนาคารอื่นยืนยันเครดิตชนิดเพิกถอนไม่ได้เมื่อมีการให้อำนาจโดยหรือตามคำร้องขอของธนาคารผู้เปิดเครดิตซึ่งถือว่าเป็นการเข้ารับภาระที่แน่นอนของธนาคารผู้ยืนยันเครดิตเพิ่มขึ้นจากหนี้หรือหน้าที่รับผิดชอบของธนาคารผู้เปิดเครดิตนั้นที่จะชำระหนี้ทั้งหนี้โดยมีเงื่อนไขว่ามีการเสนอเอกสารที่ระบุไว้ให้แก่ธนาคารผู้เปิดเครดิตหรือธนาคารผู้ได้รับมอบหมายใดๆและได้มีการปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่ระบุไว้ในเครดิตแล้ว
        4. เครดิตชนิดไม่ยืนยัน (Unconfirmed Credit) เครดิตชนิดนี้ธนาคารในประเทศผู้ขาย (ธนาคารผู้แจ้งเครดิต)เพียงแต่แจ้งเครดิตให้ผู้รับประโยชน์เท่านั้นจึงไม่เข้าไปยืนยันเครดิตฉบับนั้นด้วยเครดิตประเภทนี้ธนาคารผู้แจ้งเครดิตจึงไม่มีความรับผิดชอบใดๆ     

 เลตเตอร์ออฟเครดิต แบ่งเป็น 2 ประเภท
1.  เลตเตอร์ออฟเครดิตทางการค้าชนิดที่เพิกถอนไม่ได้ ( Irrevocab or Confirmea letter of Credit ) คือ L/C ที่ธนาคารผู้ออกหรือผู้เปิดรับรองว่าจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งตามที่ปรากฏในตั๋วแลกเงินภายในระยะเวลาหนึ่งตามสัญญาที่ปรากฏ L/C ชนิดนี้จะขอถอนเงินหรือบอกเลิกไม่ได้เว้นแต่ผู้รับประโยชน์จะยินยอม
2.   เลตเตอร์ออฟเครดิตที่เพิกถอนได้ ( Revocabie or Unconfirmed letter of credit ) คือ L/C ที่ธนาคารเป็นผู้เปิดหรือผู้ออกไม่ได้ให้ทำการรับรองว่าจะจ่ายเงินให้ตามตั๋วแลกเงินที่สั่งจ่ายอย่างแน่นอนเพียงแต่บอกกล่าวว่าจะยอมรับรองและจ่ายเงินตามตั๋วที่สั่งจ่ายถ้าหากว่าผู้เปิดไม่ได้บอกเลิกเสียก่อน L/C ชนิดนี้จะไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันทางกฎหมายระหว่างธนาคารกับผู้รับประโยชน์เพราะ L/C ดังกล่าวอาจมีการแก้ไขหรือยกเลิกได้ทุกโอกาสโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้รับประโยชน์ทราบ



1 ความคิดเห็น: